บทพิสูจน์ รุ่ง หรือ ร่วง ในวัย 27 ปี

ดูหนังออนไลน์ โพสต์โดย : Admin เมื่อ 21 ก.ค. 2568 14:06:59 น. เข้าชม 3 ครั้ง

บาร์เซโลนา แชมป์ลาลีกา, โกปา เดล เรย์ และ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ประจำฤดูกาล 2024/25 ต้องการต่อยอดความสำเร็จภายใต้การคุมทีมของ ฮันซี ฟลิค ด้วยการเสริมทัพในตำแหน่งปีก ซึ่งในปัจจุบันก็มีทั้ง ราฟินญา, ลามีน ยามาล และ เฟร์ราน ตอร์เรส รวมถึง ดานี โอลโม ที่พอเล่นริมเส้นได้ อยู่ในทีมอยู่แล้ว

‘หลุยส์ ดิอาซ’ จากลิเวอร์พูล คือเป้าหมายอันดับหนึ่งของ ‘เดโก้’ ผู้อำนวยการกีฬา ‘เบลากรานา’ แต่ด้วยปัญหาทางการเงินทำให้ไม่สามารถสู้ค่าตัวจาก ‘หงส์แดง’ ในระดับ 70 ล้านยูโรได้ ในขณะที่ดีลที่เกือบจะเป็นไปได้มากที่สุดอย่าง ‘นิโก้ วิลเลียมส์’ ก็ล่มเป็นครั้งที่สองในรอบ 2 ปี จากความไม่แน่นอนในเรื่องการลงทะเบียนนักเตะ

สุดท้ายแล้ว บาร์เซโลนา กำลังจะปิดดีลปีกซ้ายที่ตัวเองต้องการได้สำเร็จ แต่จะเกิดขึ้นกับเป้าหมายอันดับ 3 อย่าง ‘มาร์คัส แรชฟอร์ด’ ในวัย 27 ปี ที่กำลังจะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งกับสโมสรที่เพิ่งกวาดทุกถ้วยแชมป์ในสเปนเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

ซึ่งความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ว่า ในวัยใกล้ 30 ปี แท้จริงแล้ว มาร์คัส แรชฟอร์ด คือยอดนักเตะที่ในอดีตคือ ‘ดาวรุ่ง’ พุ่งแรงถึงขั้นที่เคยได้รองชนะเลิศรางวัล โกลเด้น บอย ปี 2016 หรือ เขาคือ ‘ดาวร่วง’ ที่โค้ช 2 คนล่าสุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง เอริค เทน ฮาก และ รูเบน อโมริม เขี่ยทิ้ง…

ครั้งหนึ่งในอดีต มาร์คัส แรชฟอร์ด ในวัย 5 ขวบ เริ่มเล่นฟุตบอลที่ เฟล็ทเชอร์ มอสส์ เรนเจอร์ส โรงเรียนฟุตบอลในเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อนที่ในปี 2005 ‘เด็กชายแรช’ จะได้เข้าสู่ทีมเยาวชนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และใช้เวลาฟูมฟักฝีเท้าที่นั่นนานกว่า 10 ปี ก่อนจะได้โอกาสขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2016 พร้อมสร้างปรากฏการณ์ด้วยการยิง 2 ประตูในการลงเล่นอาชีพนัดแรกในเกมยูโรป้า ลีก กับ มิดทิลแลนด์ และจะยิงอีก 2 ประตูในการลงเล่นพรีเมียร์ลีกนัดแรกเกมเจอกับ อาร์เซนอล พร้อมสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดอันดับ 4 ที่ยิงให้ ‘ปีศาจแดง’ ในลีกสูงสุดอังกฤษ (18 ปี 3 เดือน 28 วัน)

หลังจากนั้น แรชฟอร์ด สถาปนาตัวเองเป็นกำลังหลักสำคัญของทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ โดยมีสถิติที่ดีที่สุดคือซัดไป 30 ประตูให้ทัพ ‘เร้ด เดวิลส์’ เมื่อฤดูกาล 2022/23 รวมถึงเป็นดาวยิงสูงสุดของทีมชาติอังกฤษในศึกฟุตบอลโลก 2022 (3 ประตู) ซึ่งสิงโตคำรามเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว

ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่หลังจากนั้นคือการถอยหลัง…

นับตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2023 มาร์คัส แรชฟอร์ด ต่างเจอกับมรสุมที่ตัวเขามีส่วนต่อการสร้างขึ้นมาเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พฤติการใช้ชีวิตนอกสนามที่ไม่เป็นมืออาชีพ การเที่ยวกลางคืน และระเบียบวินัยที่หย่อนยาน ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อฟอร์มในสนามที่ตกลงเรื่อย ๆ จนสุดท้าย 2 เฮดโค้ชคนล่าสุดของทีมแชมป์ลีกสูงสุด 20 สมัย ตัดสินใจปล่อยตัวเขาออกจากทีมไปแบบไม่เสียดาย

“เมื่อการใช้ชีวิตของคุณไม่ถูกต้อง ฟอร์มในสนามของคุณก็ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ซึ่งเขาต้องปรับปรุง โดยเฉพาะในด้านทัศนคติทั้งตอนซ้อมและตอนลงแข่ง ถ้าเขามีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เขาจะเล่นได้ดีเอง” คือสิ่งที่ เอริค เทน ฮาก เคยกล่าวไว้

ในขณะที่กุนซือชาวโปรตุเกสอย่าง ’อโมริม’ ก็เคยให้ความเห็นต่ออดีตตัวรุกเบอร์ 10 แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไว้ว่า “ลองคิดดูสิ ว่าด้วยพรสวรรค์ที่แรชฟอร์ดมี ทีมเราจะดีขึ้นขนาดไหน แต่เขาต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และหากเขาตัดสินใจเปลี่ยน เราก็พร้อมจะต้อนรับเขากลับสู่ทีม”

อย่างไรก็ตาม เจ้าของ 138 ประตูกับ ‘ผีแดง’ ไม่สามารถกู้ฟอร์เก่งกลับมาให้กับทีมที่เป็นบ้านของเขาตั้งแต่อายุ 7 ขวบได้ ทำให้สุดท้ายต้องโดนปล่อยยืมตัวไปเล่นให้กับ แอสตัน วิลลา และที่ วิลลา พาร์ค นี้เอง แรชฟอร์ดส่งสัญญาณของการกลับมาอีกครั้งด้วยการมีส่วนร่วมกับประตูให้ทีมไป 10 ประตู (4 ประตู 6 แอสซิสต์) จากการลงเล่น 940 นาที และเป็นการส่งสัญญาณอีกว่า บางทีหากแรชฟอร์ดค้าแข้งอยู่กับทีมอื่น เขาอาจจะกลับมาระเบิดฟอร์มอีกครั้งก็เป็นได้

ท้ายที่สุด สโมสรอาชีพที่ 3 ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็มาอยู่ที่ บาร์เซโลนา ซึ่งปิดดีลคว้าตัวเขามาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัวพร้อมออปชันซื้อขาดประมาณ 30-35 ล้านยูโร พร้อมกับจะเดินทางมายังเมืองบาร์เซโลนาเพื่อเข้ารับการตรวจร่างกายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รวมถึงจะบินไปปรีซีซันกับทีมที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

การเริ่มต้นครั้งใหม่นี้ เป็นการเริ่มต้นพร้อมความหวังและความกระหายแบบเต็มตัวในระดับที่ แรชฟอร์ด ยอมลดค่าเหนื่อยของตัวเองลง 30% จากเดิม 18 ล้านยูโรต่อปี เพื่อทำตาม ‘ความฝัน’ อย่างการเล่นให้ทีมดังจากแคว้นกาตาลุนญา

Sport สื่อจากกาตาลันเปิดเผยข้อมูลว่า ฮันซี ฟลิค ได้คุยกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อเปิดเผยถึงความสนใจที่จะดึงตัวเขามาร่วมทีม ซึ่งเป็นการยืนยันว่า การย้ายทีมครั้งนี้มีอดีตโค้ชทีมชาติเยอรมนีรับรองด้วยตัวเองเลยว่า ดีลนี้ไม่สูญเปล่า แม้ต้องยอมรับว่าแรชฟอร์ดอาจจะต้องเริ่มต้นด้วยสถานะตัวสำรองก่อนก็ตาม แต่สิ่งที่ทีมจะได้จากการมีแรชฟอร์ดคือ ตัวรุกที่มีความเร็ว ความแข็งแกร่ง ความสามารถเฉพาะตัว และความเฉียบคมในการจบสกอร์

และแม้จะเป็นตัวเลือกอันดับ 3 ในการเสริมทัพปีกซ้าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่ทีมระดับท็อปอย่าง บาร์เซโลนา ตัดสินใจเลือกไว้ใจ มาร์คัส แรชฟอร์ด ให้มาร่วมทีม ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่า โลกฟุตบอลในระดับสูงยังคงเชื่อมั่นและมีความหวังต่อศักยภาพฝีเท้าในตัวรุกชาวอังกฤษรายนี้

David Boti คอลัมนิสต์จาก Sport ให้ความเห็นต่อการเสริมทัพครั้งนี้ของบอร์ดบริหารบาร์ซาว่า “เป็นการตัดสินใจที่ ‘กล้าหาญ’ เพราะนี่ไม่ใช่การเซ็นสัญญานักเตะดาวรุ่งอนาคตไกล แต่เป็นนักเตะในยุคปัจจุบันที่กระหายต่อการพิสูจน์ตัวเอง แรชฟอร์ดจะมาถึงบาร์เซโลนาด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์โดยผ่านการได้ลิ้มลองกับความสำเร็จและความล้มเหลวมาหมดแล้ว แต่ก็มีความมุ่งมั่นที่จะกลับมาเป็นคนสำคัญอีกครั้ง”

ในขณะที่ Santi Nolla บรรณาธิการของ Mundo Deportivo ให้ความเห็นว่า “แม้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในวัย 27 ปีจะไม่ใช่ตัวเลือกแรกในการเสริมทัพ แต่เขาคือตัวเลือกที่มีความหลากหลายในด้านตำแหน่งการเล่นมากที่สุด เพราะแม้บาร์ซาจะต้องการปีกซ้าย แต่เขาก็เล่นเป็นกองหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แรชฟอร์ดย้ายมาด้วยความกระหายที่จะเรียกฟอร์มเก่งในอาชีพการเล่นของเขากลับมาอีกครั้ง และบาร์ซาคือสโมสรที่เหมาะสมต่อสไตล์การเล่นของเขา”

ที่น่าสนใจคือ หากนำตัวเลขฟอร์มการเล่นเมื่อฤดูกาลที่แล้วของปีกซ้ายทั้ง 3 รายที่บาร์ซาให้ความสนใจ (นิโก้, ดิอาซ, แรชฟอร์ด) ออกมากางดูจะพบว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด มีส่วนร่วมกับประตูมากกว่า นิโก้ วิลเลียมส์ เสียอีก (20 ประตู กับ 18 ประตู) และแม้จะยิงได้น้อยกว่า หลุยส์ ดิอาซ (11 ประตู กับ 17 ประตู) แต่เขาก็ยังทำแอสซิสต์ได้มากกว่าปีกทีมชาติโคลอมเบีย (9 ต่อ 8) ซึ่งก็ต้องวงเล็บไว้อีกว่า แรชฟอร์ด ลงเล่นน้อยกว่า 9 นัด

หลังจบศึกฟุตบอลยูโร 2020 ทีมชาติอังกฤษจบด้วยการเป็นรองแชมป์ด้วยการแพ้ให้กับทีมชาติอิตาลีในการดวลจุดโทษที่สนามเวมบลีย์ โดย แรชฟอร์ดคือหนึ่งใน 3 ขุนพลสิงโตคำรามร่วมกับ เจดอน ซานโช และ บูกาโย ซาก้า ที่ยิงจุดโทษไม่เข้า ทำให้หลังจบเกมทั้ง 3 คนโดนกระแสโจมตีแบบเกินขอบเขตจากโลกโซเชียล ซึ่ง แรชฟอร์ด ก็ได้ตอบโต้ด้วยแถลงการณ์ โดยมีใจความในตอนท้ายว่า

“ผมชื่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด ผมอายุ 23 ปี (ในตอนนั้น) ผมเป็นคนผิวดำที่มาจากย่านวิททิงตัน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองแมนเชสเตอร์ ขอบคุณสำหรับทุกข้อความ ผมจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง”

ปิดโฆษณานี้

ปิดโฆษณานี้