ทั้ง เรอัล มาดริด และ เปแอสเช ต่างประสบปัญหาการขาดกำลังหลักในตำแหน่งแนวรับทั้งคู่ เริ่มจาก ‘ราชันชุดขาว’ ที่ไม่สามารถใช้งาน ‘ดีน เฮาเซน’ กองหลังค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรและเป็นหนึ่งในนักเตะของทีมผู้ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ได้จากการติดโทษแบน ในขณะที่อีกหนึ่งนักเตะใหม่อย่าง ‘เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์’ เจ้าของ 2 แอสซิสต์จาก 2 เกมหลังสุด ก็เกิดอาการบาดเจ็บจากการซ้อมเพียงหนึ่งวันก่อนแข่ง
เมื่อไม่สามารถใช้งาน 2 คีย์แมนในแนวรับได้ ส่งผลให้ ชาบี อลอนโซ ต้องปรับทีมพอสมควร โดยตัดสินใจให้ ‘ราอูล อเซนซิโอ’ ลงแทนในตำแหน่งของ ‘เฮาเซน’ ในขณะที่ตำแหน่งแบ็คขวาได้ขยับ ‘เฟเด้ บัลเบร์เด้’ ผู้แทบจะเป็นทุกอย่างของทีมลงมาเล่นแทน พร้อมกันนั้นยังจัดเต็มในเกมรุกด้วยการใส่ทั้ง คิลิยัน เอ็มปับเป้, วินิซิอุส และ กอนซาโล การ์เซีย ลงพร้อมกันหมด ในขณะที่ ‘โรดรีโก้’ นั่งสำรอง 4 นัดติด
ทางด้านทีมดังแห่งกรุงปารีส ก็ไม่สามารถใช้งานทั้ง ‘วิลเลียน ปาโช’ เซ็นเตอร์แบ็คที่เป็นนักเตะผู้ลงสนามมากที่สุดให้ทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว กับ ลูกัส แอร์กน็องเดซ ที่ติดโทษแบนจากการโดนใบแดงในเกมชนะ บาเยิร์น มิวนิค ได้เช่นกัน ซึ่ง ‘ลูโช’ ก็ได้แก้ตามตำแหน่งด้วยการให้ ลูคัส เบราลโด้ เซ็นเตอร์แบ็คทีมชาติบราซิลวัย 21 ปีลงเล่นแทน พร้อมกันนั้นยังให้ตัวเต็งบัลลงดอร์อย่าง ‘อุสมาน เดมเบเล’ กลับมาเป็นตัวจริงครั้งแรกนับตั้งแต่นัดชิงยูซีแอลด้วยการแทนที่ของ แบรดลีย์ บาร์โคลา ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ เหมือนเดิมหมด
2.ความผิดพลาดอันซ้ำซากของ ‘ราอูล อเซนซิโอ’
เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เรอัล มาดริด ประสบกับวิกฤตินักเตะบาดเจ็บอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในตำแหน่งแนวรับที่ ดานี การ์บาฆาล และ เอแดร์ มิลิเตา เอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดจนต้องพักทั้งฤดูกาลทั้งคู่ ในขณะที่ ดาวิด อลาบา เจ็บซ้ำซ้อนจนแทบจะหมดสภาพการเป็นนักเตะอาชีพไปแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า ’วิกฤติ‘ ดังกล่าวจะเป็น ’โอกาส‘ ให้กองหลังจาก เรอัล มาดริด กาสตียา ได้ขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่
และนักเตะคนดังกล่าวก็คือ ‘ราอูล อเซนซิโอ’ ในวัย 21 ปี ที่สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการทำแอสซิสต์ได้ตั้งแต่การประเดิมสนามให้ทีม และแม้จะถูก คาร์โล อันเชล็อตติ ดองบนม้านั่งสำรองในช่วงแรก แต่ด้วยกระแสเรียกร้องจากแฟนบอล รวมถึงทรัพยากรที่จำกัดจริง ๆ ในแนวรับ กุนซือชาวอิตาเลียนก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากส่ง อเซนซิโอ เป็นตัวหลักของทีม พร้อมจบฤดูกาลด้วยการลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ไปมากถึง 42 นัด
ราอูล อเซนซิโอ ดูจะมีอนาคตที่สดใส จากการพิสูจน์ตัวเองในช่วงแรกว่ามีฟอร์มการเล่นที่ดุดันในเกมรับ มีคาแรคเตอร์ที่ออกจะก้าวร้าวนิด ๆ และมีความมั่นใจในการเล่นที่สูง ทำให้หลายคนเชื่อว่าเขาจะไปรอด ยิ่งบวกกับการที่ทีมได้โค้ชคนใหม่อย่าง ชาบี อลอนโซ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการไว้ใจเด็กเยาวชนเข้ามาอีก แฟนมาดริดจึงวาดฝันไว้ว่า ‘อเซนซิโอ-เฮาเซน’ ดูจะเป็นคู่เซ็นเตอร์แบ็คที่ลงตัวและอนาคตไกลในอีก 10 ปีข้างหน้าของทีม
อย่างไรก็ตาม เพียง 6 นัดแรกในการคุม เรอัล มาดริด ของ ชาบี อลอนโซ นักเตะที่เปรียบเสมือนจุดบอดและตัวสร้างปัญหาให้ทีมกลับกลายเป็น ‘ราอูล อเซนซิโอ’ โดยเฉพาะการก่อความผิดพลาดง่าย ๆ แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างต่อเนื่องภายใต้สโมสรที่ทุกความผิดพลาด แม้เพียงเล็ก ก็ย่อมถูกจับจ้องเป็นพิเศษอย่าง เรอัล มาดริด
ทำทีมเสียจุดโทษในเกมเสมอ อัล ฮิลาล, โดนใบแดงแบบไม่จำเป็นตั้งแต่นาทีที่ 6 ในเกมกับ ปาชูก้า และเสียบอลหน้าประตูแบบไม่ระวังจนนำมาสู่การเสียประตูตั้งแต่นาทีที่ 6 ในเกมกับ เปแอสเช คือ 3 ความผิดพลาดจากการลงเป็นตัวจริง 3 นัดของ อเซนซิโอ ในทัวร์นาเมนต์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และเมื่อมาบวกกับความผิดพลาดแบบไม่น่าเชื่อของ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ในอีก 3 นาทีต่อมา เกมระหว่าง เรอัล มาดริด กับ เปแอสเช จึงจบแบบบริบูรณ์ตั้งแต่ก่อน 10 นาทีแรก
3.“บอลคนละชั้น”
หลังเสียสองประตูด้วยความผิดพลาดแบบโจ่งแจ้งตั้งแต่ 10 นาทีแรกของเกม หากให้เปรียบเทียบลูกทีมของ ชาบี อลอนโซ ก็คงเหมือนนักมวยที่ถูกคู่ชกซัดปลายคางด้วยสาเหตุไม่ยอมตั้งการ์ดตั้งแต่ยกแรก และถึงแม้จะลุกขึ้นมาชกต่อได้โดยเหลือเวลาให้แก้ตัวคืนอีกถึง 11 ยก (80 นาที) แต่นักมวยฝ่ายขาวคนนี้ก็ประคองอาการเมาหมัดไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะหมัดที่โดนเข้าไป (2 ประตู) มันช่างรุนแรงเหลือเกิน
นับจากนั้น ขุนพลราชันชุดขาวก็เล่นกันด้วยอาการสิ้นหวังและไปไม่เป็นอย่างเห็นได้ชัด จะเพรสซิงก็กลัวโดนเจาะเพิ่ม แต่พอลงไปตั้งรับลึกก็ถูกเจาะเรื่อย ๆ เกมจึงตกเป็นของลูกทีม หลุยส์ เอ็นรีเก้ แบบเบ็ดเสร็จ และหากเอาชุด อินเตอร์ ไมอามี มาให้นักเตะชุดขาวใส่ ก็คงแยกไม่ออกว่านี่คือ เรอัล มาดริด หรือ อินเตอร์ ไมอามี กันแน่ เพราะผลลัพธ์คือ ทั้งสองทีมต่างโดนจ้าวยุโรปทีมปัจจุบัน ต่อบอลคุมเกมสร้างเกมรุกด้วยความห่างชั้นแบบแทบไม่ต่างกัน
มากไปกว่านั้น ประตู 3-0 และเป็นลูกที่ 2 ของ ฟาเบียน รุยซ์ ในนาที 24 ก็เปรียบเสมือนอีกหนึ่งหมัดน็อคที่ทำให้นักมวยฝ่ายขาว ลงไปนอนนับ 10 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ในเมื่อเกมฟุตบอลไม่มีการแพ้น็อค ความทรมานของแข้งชุดขาวก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปอีกกว่า 60 นาที ก่อนจะมาโดนอีกหนึ่งหมัดหนักช่วงท้ายเกมแบบสิ้นสภาพเป็น 4-0
ยิง 12 ต่อ 4, ยิงตรงกรอบ 7 ต่อ 1 และครองบอล 76% ต่อ 24% คือหลักฐานความ End Game และความห่างชั้นตั้งแต่ครึ่งแรกแบบไม่จำเป็นต้องดูก็ได้ เพราะเพียงเห็นด้วยตาเปล่าก็รู้แล้วว่า ชาบี อลอนโซ พร้อมด้วยบอร์ดบริหารมาดริด ยังมีงานต้องทำอีกมากหากหวังพา เรอัล มาดริด ให้มีฟอร์มการเล่นที่เทียบเคียงหรือใกล้เคียงกับ เปแอสเช ในตอนนี้
4.การดวลกับเปแอสเชครั้งแรกของ ‘เอ็มปับเป้’ นับตั้งแต่ย้ายออกมา จบด้วยความขมขื่น
ก่อนหน้านี้ คิลิยัน เอ็มปับเป้ เคยเจอกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในฐานะคู่แข่งทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่ตัวเขาค้าแข้งอยู่กับ โมนาโก ทั้งหมดด้วยสถิติชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 2 และยังไม่เคยยิงทีมดังแห่งเมืองหอไอเฟลได้เลยแม้แต่ลูกเดียว
นอกจากนี้ นี่ยังเป็นการกลับมาเจอกับทีมที่เขายังคงถือครองสถิติดาวยิงสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร 256 ประตู ก่อนจะจากลากันอย่างไม่สวยนัก เพราะมีทั้งการยื้อยุดฉุดกระชากซึ่งกันละกัน ก่อนจะลามไปดราม่ากันนอกสนามในแบบที่ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล และจบด้วยการที่ ‘เอ็มปับเป้’ ย้ายมาสวมเสื้อ ‘โลส บลังโกส’ ในสถานะ ‘ฟรีเอเยนต์’ หลังจบฤดูกาล 2023/24 ก่อนจะเกิดเรื่องบังเอิญขึ้นคือ เพียงฤดูกาลแรกในรอบ 7 ปีที่ ‘ปารีส’ ไม่มี ‘เอ็มปับเป้’ พวกเขาก็คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่รอคอยเป็นสมัยแรกได้แบบทันที ในขณะที่ ‘คิลิยัน’ ยังไม่เคยมีโอกาสสัมผัสโทรฟีดังกล่าวแม้แต่ครั้งเดียว
การโคจรกลับมาเจอกันเป็นครั้งแรกของคู่นี้นับตั้งแต่จากกันในปี 2024 จบลงด้วยชัยชนะอันสวยหรูของแชมป์ลีกเอิง 13 สมัย และในทางกลับกัน ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้อันยับเยินของกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสวัย 26 ปี
ตลอดทั้งเกม เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา พยายามจะสร้างโอกาสและสร้างจังหวะในเกมรุกอย่างเต็มที่ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ออกดอกออกผลแม้แต่จังหวะเดียว
ยิง 4 ครั้ง, ตรงกรอบ 1 ครั้ง, คีย์พาส 0 ครั้ง และเลี้ยงหลบคู่แข่ง 1 ครั้ง คือสถิติส่วนตัวตลอดทั้งเกมของ เอมปับเป้ เมื่อคืนนี้
บางที การกล่าวของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ก่อนเริ่มฤดูกาล 2024/25 ว่า “เราจะดีขึ้นโดยไม่มีเอ็มปับเป้” อาจจะไม่ใช่ประโยคปลอบใจหรือเรียกขวัญกำลังใจให้ทีมเท่านั้น แต่อาจจะอิงจากความจริงอะไรบางอย่าง ที่คนเป็นโค้ชระดับทริปเปิ้ลแชมป์กับ 2 สโมสรอย่างเขามองเห็น
5.เปแอสเช : ทีมที่หากไม่สมบูรณ์แบบ ก็คงใกล้เคียง
ฮาเวียร์ มาสเคราโน เฮดโค้ช อินเตอร์ ไมอามี เคยกล่าวก่อนพาทีมเจอ เปแอสเช ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายศึกชิงแชมป์สโมสรโลกว่า “เปแอสเช ไม่ใช่ทีมที่สมบูรณ์แบบ และไม่มีทีมไหนในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ”
อย่างไรก็ตาม ด้วยฟอร์ม ณ ขณะนี้ของลูกทีม หลุยส์ เอ็นรีเก้ หากไม่สามารถพูดคำว่า ”สมบูรณ์แบบ” ได้ ก็คงต้องพูดว่าพวกเขาคือทีมที่ “เกือบจะสมบูรณ์แบบ” ในระดับที่ยากต่อการต้านทานและต่อกร
ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-2
ชนะ แบรสต์ 7-0
ชนะ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ 1-0
ชนะ อาร์เซนอล สกอร์รวม 2 นัด 3-1
ชนะ อินเตอร์ มิลาน 5-0
ชนะ แอตเลติโก มาดริด 4-0
ชนะ อินเตอร์ ไมอามี 4-0
ชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-0
ชนะ เรอัล มาดริด 4-0
คือผลงานของ เปแอสเช ในรอบ 6 เดือนหลังสุดที่สะท้อนความร้อนแรงแบบหยุดไม่อยู่
คำถามคือ เปแอสเช ชุดนี้มีจุดอ่อนอะไร? ในเมื่อนักเตะ 11 ตัวจริงของพวกเขาทุกคนครอบครองบอลได้ดีหมด ต่อบอลแม่นยำไหลลื่นทุกคน มีความสามารถเฉพาะตัวในการเอาตัวรอดพื้นที่แคบ ๆ ได้เกือบทุกคน ยิงประตูได้ทุกคน รวมถึงเพรสซิงด้วยความดุดันแบบมีทีมเวิร์คสูง และเวลาตั้งรับก็รับกันแบบเป็นทีมด้วยความเหนียวแน่น
และหากเจาะไปที่รายตำแหน่ง พวกเขาก็มีหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลก มีแบ็คสองข้างที่นอกจากเติมเกมบุกมันแล้ว ยังทำหน้าที่เกมรับได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มีคู่กองหลังที่ผสมผสานระหว่างความเก๋าและความสด มี 3 ประสานในแดนกลางที่มีเทคนิคชั้นเลิศทุกคน มี 3 ตัวรุกที่ทั้งเร็ว ทักษะเฉพาะตัวสูง จบสกอร์คม และขยันเพรสซิง แถมยังมีตัวสำรองที่เป็นซูเปอร์ซับได้อีก
บางที หากทีมไหนคิดอยากจะขึ้นมาเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ในปีหน้า อาจจะต้องเริ่มจากการตั้งโจทย์ก่อนว่า จะล้ม เปแอสเช ของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ลงได้อย่างไร