5 ประเด็นหลังเกม เรอัล มาดริด ชนะ ดอร์ทมุนด์ ครึ่งแรกที่ดีที่สุดของอลอนโซ ฟราน การ์เซีย เกิดใหม่ ไม่มีเฮาเซนนัดหน้า

ดูหนังออนไลน์ โพสต์โดย : Admin เมื่อ 7 ก.ค. 2568 10:18:31 น. เข้าชม 7 ครั้ง

หลังจบเกมที่ เรอัล มาดริด ชนะ ซัลซ์บวร์ก 3-0 ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม และเป็นเกมที่ ชาบี อลอนโซ เริ่มปรับมาให้ ‘ราชันชุดขาว’ เล่นในระบบ 3-4-2-1 เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี สื่ออย่าง Marca ถึงกับชื่นชมฟอร์มการเล่นในเกมดังกล่าว โดยเฉพาะในครึ่งแรกว่า “นี่คือฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของมาดริดในรอบหลายเดือน”

อย่างไรก็ตาม ใน 45 นาทีแรกเมื่อคืนนี้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ชาบี อลอนโซ ไม่เฉพาะจะพาลูกทีมเล่นดีที่สุดในรอบหลายเดือนเท่านั้น แต่ยังพาทีมเล่นได้ดีที่สุดในบรรดา 5 นัดแรกที่เขาเข้ามาคุมทีม แต่ครั้งนี้ไม่ใช่กับแผน 3-4-2-1

แต่น่าเสียดาย ที่ความวุ่นวายในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของท้ายเกม จะบดบังความยอดเยี่ยมในครึ่งแรกของมาดริดไปหมด และจากที่จะกำลังจะชนะง่าย ๆ ก็เกือบที่จะถูกตีเสมอในช่วงท้ายเกม ในแบบที่เหลือ 10 ตัว และนี่คือ 5 ประเด็นหลังเกมรีแมตช์นัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2024

1.“แผนการเล่นไม่สำคัญเท่าความเข้าใจเกม”

แม้ เรอัล มาดริด จะจัด 11 ตัวจริงในเกมนี้เหมือนกับ 11 ตัวจริงนัดที่เอาชนะ ยูเวนตุส ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายทุกตำแหน่ง 

อย่างไรก็ตาม ในนัดนี้จุดเปลี่ยนอยู่ที่ ‘ออเรเลียง ชูอาเมนี’ ซึ่งถูกขยับจากการเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวกลาง ขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์คู่กลางกับ อาร์ด้า กูแลร์ ในขณะที่ เฟเด วัลเวร์เด้ ถูกขยับออกไปริมเส้นฝั่งขวามากขึ้น บนความยืดหยุ่นที่การขยับตำแหน่งของนักเตะแต่ละคนสามารถเปลี่ยนไปได้ตามจังหวะของเกม เช่น ตอนรับ วัลเวร์เด้ อาจจะลงมาเป็นแบ็คขวา โดยที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขยับเข้าไปเป็นหนึ่งใน 3 เซ็นเตอร์แบ็ค หรือตอนเปิดเกมบุก วัลเวร์เด้ ก็สามารถเติมขึ้นสูงเหมือนปีกขวา ในขณะที่ ‘เทรนต์’ ก็สามารถถ่างออกไปเป็นแบ็คขวาได้ตามปกติ

แต่ที่ชัดเจนแน่ ๆ คือเกมนี้ มาดริดไม่ได้เล่น 3-4-2-1 เต็ม ๆ เหมือน 2 นัดที่ผ่านมา

เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามหลังจบเกมถึงการปรับแผนการเล่น ชาบี อลอนโซ ตอบว่า “ตำแหน่งการยืนของนักเตะสามารถยืดหยุ่นได้ โดยขึ้นอยู่กับความสูงในการยืนของ ชูอาเมนี หน้าที่หลักของเขาในเกมนี้คือการตาม ยูเลียน บรันด์ท และกับการที่ดอร์ทมุนด์ใช้ผู้เล่นในแนวรุกถึง 5 คน ทำให้เราต้องปรับการยืนนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม ต่อให้เราเล่นในระบบหลัง 3, 4-3-3 หรือ 4-1-4-1 มันก็ไม่สำคัญอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือนักเตะมีความเข้าใจเกมมากพอที่จะเล่นในแบบที่เราต้องการได้หรือไม่”

2.เริ่มเกมดุดัน แต่ปิดเกมไม่เนียน

เรอัล มาดริด มีการเริ่มต้นเกมในการเจอกับ ‘เสือเหลือง’ ได้แบบน่าประทับใจและน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะสปีดเกมการเล่นที่เข้มข้นตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดเริ่มต้นเกม  จากการที่นักเตะ ‘โลส บลังโกส‘ ทุกคนเล่นกันด้วยความตื่นตัวสูง เล่นด้วยความกระหาย เพรสซิงดุดัน ต่อบอลเท้าสู่เท้าด้วยความรวดเร็วแม่นยำ และเข้าทำด้วยความเด็ดขาด จนนำมาสู่การขึ้นนำ 2-0 ตั้งแต่ 20 นาทีแรกของเกม 

จบสกอร์ 8 ครั้ง, ตรงกรอบ 4 ครั้ง เป็น 2 ประตู คือสถิติในครึ่งแรกของแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 15 สมัย ในขณะที่ ดอร์ทมุนด์ ได้โอกาสยิงแค่ 3 ครั้ง และตรงกรอบแค่ครั้งเดียว ตลอด 48 นาทีแรกของเกม โดยแม้ครึ่งแรกการครองบอลของแชมป์ยุโรปปี 1997 จะมากกว่าที่ 58% แต่การครองบอลที่มากดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่มาดริดขึ้นนำ 2-0 ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ใน 45 นาทีหลัง ลูกทีมของ ชาบี อลอนโซ มีการลดสปีดและความเข้มข้นในเกมลงแบบชัดเจน โดยเน้นไปที่การควบคุมเกม มากกว่าการยิงประตูที่ 3 ซึ่งก็สามารถทำได้จนถึงนาที 92 แต่หลังจากโดนยิงตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 อลอนโซ ก็กล่าวหลังเกมว่า “นักเตะเกิดความสับสนเล็กน้อย” ทำให้จากที่กำลังจะชนะง่าย ๆ มาเป็นการชนะแบบหวาดเสียวแทน

3.กอนซาโล การ์เซีย : กองหน้าขนานแท้ที่มาดริดห้ามดรอป

ชาบี อลอนโซ เคยกล่าวถึง กอนซาโล การ์เซีย หลังชนะ ยูเวนตุส 1-0 ไว้ว่า “ผมไม่แปลกใจกับฟอร์มของเขา เพราะผมติดตามฟอร์มเขามาตั้งแต่เล่นให้ทีม กาสตียา อย่างไรก็ตาม ผมก็จะไม่พูดว่าการที่เขายิง 3 ประตูจาก 4 นัดเป็นเรื่องที่เราคาดหวังไว้” 

แต่จนถึงตอนนี้ ใครจะเชื่อว่า กอนซาโล การ์เซีย คือดาวซัลโวฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 คนปัจจุบัน จากการยิงไป 4 ประตู 

ในเกมกับ ดอร์ทมุนด์ ‘กอนซาโล’ พิสูจน์ความเป็น “กองหน้าขนานแท้” อีกครั้ง ในแบบที่แนวรุกระดับซูเปอร์สตาร์คนอื่น ๆ ในทีมทำไม่ได้ โดยเขาเป็นนักเตะ 11 ตัวจริงที่สัมผัสบอลน้อยที่สุดคือ 27 ครั้ง และในครึ่งแรกเขาได้สัมผัสบอลเพียงแค่ 9 ครั้งเท่านั้น แต่ขอเพียงครั้งเดียวที่บอลถึงตัวเขาในกรอบเขตโทษ เขาก็เปลี่ยนประตูขึ้นนำให้ทีมได้ทันทีในนาทีที่ 10 

จากจำนวน 5 เกมที่มาดริดลงเล่นไปทั้งหมดในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก กอนซาโล การ์เซีย เป็นตัวจริงทุกนัด และเป็นนักเตะ 11 ตัวจริงที่สัมผัสบอลน้อยที่สุดทุกนัด (ไม่นับ กูร์ตัวส์ กับ ราอูล อเซนซิโอ ที่โดนใบแดงตั้งแต่นาทีที่ 4 เกมกับปาชูก้า) แต่สิ่งที่เขาตอบแทนโค้ชที่เชื่อมั่นในตัวเขาอย่าง ชาบี อลอนโซ คือการมีส่วนร่วมกับประตูทุกนัดเช่นกัน

1 ประตูกับ อัล ฮิลาล, 1 แอสซิสต์กับ ปาชูก้า, 1 ประตูกับ ซัลซ์บวร์ก, 1 ประตูกับ ยูเวนตุส (ประตูชัย) และล่าสุดคือ 1 ประตูกับ ดอร์ทมุนด์ 

บางที คำถามต่อ อลอนโซ ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ “วินิซิอุส กับ เอ็มบัปเป้ จะเล่นร่วมกันได้หรือไม่” แต่ควรเป็น “ใครจะเป็นคนเล่นคู่กับ กอนซาโล การ์เซีย ระหว่าง เอ็มบัปเป้ และ วินิซิอุส”

4.ฟราน การ์เซีย และ อาร์ด้า กูแลร์ เกิดใหม่ในยุค อลอนโซ 

ในยุคที่ คาร์โล อันเชล็อตติ คุม เรอัล มาดริด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ฤดูกาล 2023/24 ซึ่งเป็นปีที่ ฟราน การ์เซีย กลับมาจากการยืมตัวที่ ราโย บาเยกาโน พอดี และนับแต่นั้นจนถึง ‘อันเชล็อตติ’ อำลาทีม สถานะของอดีตแบ็คซ้าย เรอัล มาดริด กาสตียา คือการเป็นเพียงตัวสำรองของ แฟร์กล็องด์ เมนดี้ เท่านั้น และดีไม่ดีอาจจะหลุดไปเป็นแบ็คซ้ายอันดับ 3 ของทีมด้วยซ้ำ หาก เอดูอาร์โด้ กามาวิงก้า ถูกจับไปเล่นเป็นแบ็คซ้าย 

เช่นเดียวกับ อาร์ด้า กูแลร์ ที่นับตั้งแต่ย้ายจาก เฟเนร์บาห์เช มาอยู่ในการควบคุมของ ‘คาร์เล็ตโต้’ เขาก็มีสถานะเป็นตัวเลือกรองในแนวรุกเท่านั้น เพราะเฮดโค้ชชาวอิตาเลียนมีความเชื่อที่ว่า “เด็กดาวรุ่งต้องรู้จักที่จะต้องนั่งสำรอง”

อย่างไรก็ตาม การมาถึงของ ชาบี อลอนโซ ส่งผลให้สถานการณ์ของทั้งคู่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายของดาวรุ่งตุรกีวัย 20 ปี ที่นอกจากจะพลิกบทบาทเป็น ‘หัวใจ’ ของทีมแล้ว ยังเปลี่ยนบทบาทจากปีกขวาและมิดฟิลด์ตัวรุก มาเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางแบบเต็มตัว 

เกมเมื่อคืนนี้ อาร์ด้า กูแลร์ จัดไปคนเดียว 2 แอสซิสต์, คีย์พาส 2 ครั้ง (มากที่สุดในทีม), ผ่านบอ

 68 ครั้ง (มากที่สุดในทีม), ผ่านบอลสำเร็จ 95.6% (สูงที่สุดในทีม), สัมผัสบอล 78 ครั้ง (มากที่สุดในทีม) และครอสบอลเข้าเป้า 2 ครั้ง (มากที่สุดในทีม) 

ส่วนในรายของ ฟราน การ์เซีย ที่ยึดตำแหน่งตัวจริงในตำแหน่งแบ็คซ้ายมา 5 นัดติดในยุคของ อลอนโซ ก็ได้รับรางวัล MOTM ในเกมนี้ จากการเติมเกมรุกและขึ้นลงเกมทางซ้ายได้ยอดเยี่ยม ด้วยผลงานครอสบอลเข้าเป้า 2 ครั้ง (มากที่สุดเท่ากับ กูแลร์), สัมผัสบอล 71 ครั้ง (มากที่สุดรองจาก กูแลร์) และยิง 1 ประตู โดยคนแอสซิสต์คือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ผู้ทำ 2 แอสซิสต์ จาก 2 เกมหลังสุด

5.ความโกลาหลท้ายเกมทิ้งแผลให้มาดริดนัดหน้า

เกมเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 92 เรอัล มาดริด กำลังจะปิดเกมด้วยสกอร์ 2-0 โดยเหลืออีก 3 นาทีก็จะครบเวลาทดเจ็บ 5 นาที อย่างไรก็ตาม พอถึงนาทีที่ 92 หลังจากนั้น 6 นาทีคือความโกลาหล

นาที 92 มักซิมิเลียน ไบเออร์ ยิงตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2

นาที 94 คิลิยัน เอ็มบัปเป้ เบิกสกอร์แรกในฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ สกอร์เป็น 3-1 

นาที 95 ดีน เฮาเซน ไปดึง แซร์อู กีราสซี ที่กำลังหลุดเดี่ยว ล้มลงในกรอบเขตโทษ เรอัล มาดริด เสียจุดโทษ ในขณะที่ เฮาเซน โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม

นาที 98 กีราสซี ซัดจุดโทษเข้าไปไล่มาเป็น 2-3 

นาที 99 มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ได้ซัดบอลเต็มข้อบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ แต่ ติโบต์ กูร์ตัวส์ บินปัดมือเดียว และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ผู้ตัดสินก็เป่าจบเกม…กูร์ตัวส์กระโดดดีใจด้วยการเป็นฮีโร่!

เรอัล มาดริด จากที่จะชนะ 2-0 สู่การชนะแบบหวุดหวิด 3-2 และหาก ซาบิตเซอร์ ยิงลูกนั้นเข้าไป ‘ราชันชุดขาว’ ต้องลงเล่น 30 นาทีในช่วงต่อเวลาโดยเหลือผู้เล่น 10 คน

ฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้จริง ๆ 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของ ชาบี อลอนโซ มากกว่าการชนะแบบน่าหวาดเสียวคือ การที่ในรอบรองชนะเลิศคืนวันพุธที่ 9 นี้กับ เปแอสเช พวกเขาจะไม่มีกองหลังที่เล่นได้ดีที่สุดในทีมอย่าง ดีน เฮาเซน ที่ติดโทษแบน ในขณะที่แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีล่าสุด ก็จะไม่มี วิลเลียน ปาโช กับ ลูกัส แอร์กน็องเดซ ที่โดนใบแดงในเกมชนะ บาเยิร์น มิวนิค เช่นเดียวกัน

ปิดโฆษณานี้

ปิดโฆษณานี้