5 ประเด็นหลังเกม เปแอสเช ชนะ บาเยิร์น เกมคุณภาพ จุดอ่อนของจ้าวยุโรป ความเขี้ยวตัดสินเกม

ดูหนังออนไลน์ โพสต์โดย : Admin เมื่อ 7 ก.ค. 2568 10:17:00 น. เข้าชม 5 ครั้ง

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในฐานะแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 จากฟอร์มการเล่นและผลงานที่ร้อนแรง เอาชนะอีกหนึ่งทีมระดับท็อปของยุโรปอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ไปได้ 2-0 พร้อมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ในเกมกับแชมป์บุนเดสลีกาเมื่อคืนนี้ เปแอสเช ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทีมที่เล่นได้ดีขนาดไหน แต่มันเกมที่พวกเขาแสดงให้เห็นว่า “ทำไมพวกเขาถึงเป็นทีมแห่งการคว้าแชมป์”

และนี่คือ 5 ประเด็นหลังเกมระหว่าง จ้าวยุโรปแห่งกรุงปารีส ปะทะ เสือใต้จากเมืองมิวนิค

1.เกมแห่งคุณภาพและความสูสี

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กับ บาเยิร์น มิวนิค ถือเป็นการเจอกันของ 2 ทีมที่ดีที่สุดในยุโรป ณ ขณะนี้ โดยที่ทีมหนึ่งคือทีมแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทีมล่าสุดที่อยู่ในช่วงฟอร์มที่ร้อนแรง ในขณะที่อีกทีม ซึ่งแม้จะไม่ได้อยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุด แต่ก็เป็นทีมที่มีมาตรฐานฟอร์มการเล่นที่สูงอยู่ทุกปี และการดวลกันของทั้งสองทีมเมื่อคืนนี้ก็ยืนยันถึงความเป็นเกมระดับคุณภาพสูง 

เกมที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อารีนา เป็นเกมที่มีความสูสีใกล้เคียง ทั้งสองทีมมีสไตล์การเล่นที่คล้ายกันคือ เพรสซิงสูง, ดันไลน์เกมรับสูง และมีการขึ้นเกมจากหลังขึ้นหน้าได้ดี เมื่อเกมมีความใกล้เคียงกันมาก จึงทำให้ทุกจังหวะการเล่นมีความเข้มข้น และความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจะนำไปสู่การเสียประตูได้เลย

2.จ้าวยุโรป ไม่ได้ “ไร้เทียมทาน” 

ตามปกติแล้ว โดยเฉพาะในช่วงหลัง เปแอสเช ของ หลุยส์ เอ็นริเก้ มักเป็นฝ่ายที่เล่นได้เหนือกว่าคู่แข่งแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการครองบอลบุกอยู่ฝ่ายเดียว การไล่เพรสซิงคู่แข่งจนหายใจไม่ออก และการบุกถล่มคู่แข่งแบบขาดลอย

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ การถล่ม อินเตอร์ มิลาน ในนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5-0 ซึ่งเป็นการทำสถิติชนะคู่แข่งในนัดชิงยูซีแอลที่ขาดลอยที่สุด การถล่ม แอตเลติโก มาดริด ในนัดเปิดสนามฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 4-0 และล่าสุดกับการถล่ม อินเตอร์ ไมอามี ของ ลิโอเนล เมสซี แบบคนละชั้นด้วยสกอร์เดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในเกมเมื่อคืนนี้ บาเยิร์น มิวนิค ของ แว็งซองต์ กอมปานี พิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาสามารถต่อกรกับทีมจ้าวยุโรปได้ และในบางช่วงจังหวะของเกม ฝั่ง ‘เสือใต้‘ ก็ทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ โดยวิธีที่แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 สมัยใช้ในการสู้กับทีมแห่งกรุงปารีส ก็คล้ายกับวิธีที่ เปแอสเช ใช้กับคู่แข่งทีมอื่น ๆ คือ การเพรสซิงใส่ตั้งแต่หน้ากรอบเขตโทษแบบถึงตัวเร็ว ทำให้การขึ้นเกมของลูกทีม ‘เอ็นรีเก้’ ไม่ไหลลื่นเหมือนนัดที่ผ่าน ๆ มา

โดยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ทีมของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ไม่ได้ครองเกมแบบเบ็ดเสร็จฝ่ายเดียวคือ สถิติการครองบอลในครึ่งแรก เพราะหาก 5 นัดหลังสุด เปแอสเช เป็นฝ่ายครองบอลในครึ่งแรกได้ถึง 63% (กับ อินเตอร์ มิลาน) 74% (กับ แอต.มาดริด) 75% (กับ โบตาโฟโก้) 78% (กับ ซีแอตเทิล ซันดาวน์) และ 73% (กับ ไมอามี) ในครึ่งแรกกับ ‘เสือใต้’ เปแอสเช กลับครองบอลได้ 51% ซึ่งน้อยที่สุดนับตั้งแต่เกมชนะ อาร์เซนอล 2-1 (47%)

3.จามาล มูเซียลา กับอาการบาดเจ็บที่ไม่มีใครอยากเห็น 

15 มิถุนายน บาเยิร์น มิวนิค ลงเล่นนัดแรกในศึกฟีฟ่า คลับ 2025 ด้วยการถล่ม โอ๊คแลนด์ ซิตี้ 10-0 โดย 3 ประตูในนั้นเกิดขึ้นโดย จามาล มูเซียลา ที่ลงมาเป็นตัวสำรองในนาที 61 และเป็นการกลับมาลงสนามครั้งแรกในรอบ 71 วัน หลังบาดเจ็บแฮมสตริงจนพลาดการลงเล่น 8 นัดสุดท้ายให้ ‘เสือใต้’ ในฤดูกาล 2024/25 

ผ่านไปเพียง 20 วัน มูเซียลา กลับมาเจ็บอีกครั้ง และมันเกิดขึ้นในเกมที่เขากลับมาอยู่ใน 11 ตัวจริงของทีมเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน แถมการบาดเจ็บครั้งนี้ภาพที่ออกมาคือขาหักแบบผิดรูป ก่อนที่ผลตรวจเบื้องต้นจะพบว่า กองกลางตัวรุกวัย 22 ปี  กระดูกน่องซ้ายส่วนล่างหัก และอาจจะต้องพักนาน 4-5 เดือน

มูเซียลา ถือเป็นกองกลางตัวรุกดาวรุ่งพุ่งแรงที่ขึ้นมาพร้อม ๆ กับกลางรุกคนอื่น ๆ อย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม, ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ และ เปดรี้ แต่หาก เปดรี้ สลัดอาการบาดเจ็บได้แล้วจนไม่เจอกับอาการบาดเจ็บเลยสักครั้งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ในขณะที่ จู๊ด กับ เวียร์ตซ์ ก็ยังไม่เจอกับอาการบาดเจ็บหนักในช่วง 2-3 ฤดูกาลหลัง แต่กับ มูเซียลา เขาเจอกับอาการบาดเจ็บรบกวนไปมากถึง 35 ครั้งในช่วง 4 ฤดูกาลหลังสุด

4.‘ความเขี้ยว’ คุณสมบัติที่ทีมเป็นแชมป์ต้องมี

ตลอด 97 นาทีในเกมเมื่อคืนนี้ เราไม่สามารถพูดได้เลยว่า ‘บาเยิร์น มิวนิค’ เล่นเป็นรอง เปแอสเช ไม่ว่าจะเป็นในครึ่งแรกหรือครึ่งหลัง ลูกทีมของ แว็งซองต์ กอมปานี สู้กับลูกทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ได้สนุก และดูจะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำในแง่ของการครอบครองเกม หลักฐานคือการครองบอลตอดทั้งเกม 54% ของ ‘เสือใต้’

อย่างไรก็ตาม ผู้ชนะหลังจบเกมไม่ใช่ทีมที่ดูจะเหนือกว่าเล็กน้อยอย่าง บาเยิร์น แต่เป็นทีมแชมป์ยุโรอย่าง เปแอสเช ซึ่งจบเกมด้วยการเหลือนักเตะเพียง 9 คน 

โดยเกมนี้ ทีมของอดีตเฮดโค้ช ‘กระทิงดุ’ อาจจะไม่ได้ครอบครองเกมและบุกกดคู่แข่งตามถนัด แต่สิ่งที่น่าชื่นชมทีมจากเมืองหลวงฝรั่งเศสคือ ‘ความเขี้ยว’ ในการรู้ว่าควรเล่นแบบไหนเมื่อเป็นรอง และควรจะปรับวิธีการเล่นแบบไหนเพื่อให้ตัวเองยังคงอยู่ในเกมตลอด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีความยืดหยุ่นในการเล่น และการบริหารจัดการเกม (Game Management) ที่ดีเยี่ยม 

มากไปกว่านั้น การเล่นเกมรับของแชมป์ยุโรป 1 สมัย ยังทำได้อย่างแข็งแกร่งและมีทีมเวิร์คสูง โดยเฉพาะการรับมือกับลูกครอสของ บาเยิร์น ซึ่งเป็นรูปแบบการเข้าทำหลักคือ 23 ครั้ง แต่แนวรับ เปแอสเช เป็นฝ่ายเก็บบอลได้ถึง 17 ครั้ง แม้แต่ช่วงเกือบ 10 นาทีสุดท้ายก่อนจบเกม ซึ่ง เปแสเช เหลือผู้เล่น 10 คน พวกเขาก็ไม่แสดงให้เห็นถึงอาการตื่นตระหนกแต่อย่างใด และยังคงเล่นเกมรับด้วยความมีระเบียบวินัย

และจุดชี้ขาดที่ทำให้ เปแอสเช เป็นฝ่ายชนะคือ ความเฉียบขาดในการจบสกอร์ เพราะแม้ทั้งสองทีมจะได้โอกาสยิงตรงกรอบเท่ากันคือ 5 ครั้ง แต่ฝั่ง ปารีส เปลี่ยนโอกาสดังกล่าวเป็น 2 ประตู ในขณะที่ บาเยิร์น 0 และอย่างที่ได้บอกไปตอนต้นบทความว่า ด้วยความที่เกมนี้เป็นเกมที่มีความใกล้เคียงสูง ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ จีงสามารถเปลี่ยนเกมได้เลย ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะลูก 1-0 ของ เปแอสเช เกิดจากการเสียบอลกลางทางของ แฮร์รี เคน แล้วก็เป็น เดซีเร ดูเอ้ ที่เป็นผู้ลงโทษความผิดพลาดดังกล่าว

5.เปแอสเช ชนะแบบทิ้งแผลในนัดหน้า

แม้ เปแอสเช จะสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปได้ แต่พวกเขาจะลงเล่นโดยปราศจากเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งซ้ายถึง 2 คน นั่นคือ วิลเลียน ปาโช กับ ลูกัส แอร์กน็องเดซ ที่ต่างโดนใบแดงโดยตรงในนาที 82 และ 92 ตามลำดับ 

ในรายของ ‘ปาโช’ ถือว่าเสียหายหนัก เพราะเซ็นเตอร์แบ็คทีมชาติเอกวาดอร์คือนักเตะที่ลงเล่นมากที่สุดให้ทีมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา (4,545 นาที) แถมยังเป็นแนวรับตัวหลักของทีมที่มีค่าเฉลี่ยในการตัดบอลต่อเกมได้มากที่สุด คือ 1.3 ครั้งต่อเกม

ทำให้เกมหน้า คาดว่าคนที่จะมายืนคู่กับ มาร์กินญอส ในแนวรับคือ ลูคัส เบราลโด้ เซ็นเตอร์แบ็คบราซิลเลียนวัย 21 ปี

sqgame555 )

ปิดโฆษณานี้

ปิดโฆษณานี้