15 มิถุนายน บาเยิร์น มิวนิค ลงเล่นนัดแรกในศึกฟีฟ่า คลับ 2025 ด้วยการถล่ม โอ๊คแลนด์ ซิตี้ 10-0 โดย 3 ประตูในนั้นเกิดขึ้นโดย จามาล มูเซียลา ที่ลงมาเป็นตัวสำรองในนาที 61 และเป็นการกลับมาลงสนามครั้งแรกในรอบ 71 วัน หลังบาดเจ็บแฮมสตริงจนพลาดการลงเล่น 8 นัดสุดท้ายให้ ‘เสือใต้’ ในฤดูกาล 2024/25
ผ่านไปเพียง 20 วัน มูเซียลา กลับมาเจ็บอีกครั้ง และมันเกิดขึ้นในเกมที่เขากลับมาอยู่ใน 11 ตัวจริงของทีมเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน แถมการบาดเจ็บครั้งนี้ภาพที่ออกมาคือขาหักแบบผิดรูป ก่อนที่ผลตรวจเบื้องต้นจะพบว่า กองกลางตัวรุกวัย 22 ปี กระดูกน่องซ้ายส่วนล่างหัก และอาจจะต้องพักนาน 4-5 เดือน
มูเซียลา ถือเป็นกองกลางตัวรุกดาวรุ่งพุ่งแรงที่ขึ้นมาพร้อม ๆ กับกลางรุกคนอื่น ๆ อย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม, ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ และ เปดรี้ แต่หาก เปดรี้ สลัดอาการบาดเจ็บได้แล้วจนไม่เจอกับอาการบาดเจ็บเลยสักครั้งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ในขณะที่ จู๊ด กับ เวียร์ตซ์ ก็ยังไม่เจอกับอาการบาดเจ็บหนักในช่วง 2-3 ฤดูกาลหลัง แต่กับ มูเซียลา เขาเจอกับอาการบาดเจ็บรบกวนไปมากถึง 35 ครั้งในช่วง 4 ฤดูกาลหลังสุด
4.‘ความเขี้ยว’ คุณสมบัติที่ทีมเป็นแชมป์ต้องมี
ตลอด 97 นาทีในเกมเมื่อคืนนี้ เราไม่สามารถพูดได้เลยว่า ‘บาเยิร์น มิวนิค’ เล่นเป็นรอง เปแอสเช ไม่ว่าจะเป็นในครึ่งแรกหรือครึ่งหลัง ลูกทีมของ แว็งซองต์ กอมปานี สู้กับลูกทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ได้สนุก และดูจะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำในแง่ของการครอบครองเกม หลักฐานคือการครองบอลตอดทั้งเกม 54% ของ ‘เสือใต้’
อย่างไรก็ตาม ผู้ชนะหลังจบเกมไม่ใช่ทีมที่ดูจะเหนือกว่าเล็กน้อยอย่าง บาเยิร์น แต่เป็นทีมแชมป์ยุโรอย่าง เปแอสเช ซึ่งจบเกมด้วยการเหลือนักเตะเพียง 9 คน
โดยเกมนี้ ทีมของอดีตเฮดโค้ช ‘กระทิงดุ’ อาจจะไม่ได้ครอบครองเกมและบุกกดคู่แข่งตามถนัด แต่สิ่งที่น่าชื่นชมทีมจากเมืองหลวงฝรั่งเศสคือ ‘ความเขี้ยว’ ในการรู้ว่าควรเล่นแบบไหนเมื่อเป็นรอง และควรจะปรับวิธีการเล่นแบบไหนเพื่อให้ตัวเองยังคงอยู่ในเกมตลอด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีความยืดหยุ่นในการเล่น และการบริหารจัดการเกม (Game Management) ที่ดีเยี่ยม
มากไปกว่านั้น การเล่นเกมรับของแชมป์ยุโรป 1 สมัย ยังทำได้อย่างแข็งแกร่งและมีทีมเวิร์คสูง โดยเฉพาะการรับมือกับลูกครอสของ บาเยิร์น ซึ่งเป็นรูปแบบการเข้าทำหลักคือ 23 ครั้ง แต่แนวรับ เปแอสเช เป็นฝ่ายเก็บบอลได้ถึง 17 ครั้ง แม้แต่ช่วงเกือบ 10 นาทีสุดท้ายก่อนจบเกม ซึ่ง เปแสเช เหลือผู้เล่น 10 คน พวกเขาก็ไม่แสดงให้เห็นถึงอาการตื่นตระหนกแต่อย่างใด และยังคงเล่นเกมรับด้วยความมีระเบียบวินัย
และจุดชี้ขาดที่ทำให้ เปแอสเช เป็นฝ่ายชนะคือ ความเฉียบขาดในการจบสกอร์ เพราะแม้ทั้งสองทีมจะได้โอกาสยิงตรงกรอบเท่ากันคือ 5 ครั้ง แต่ฝั่ง ปารีส เปลี่ยนโอกาสดังกล่าวเป็น 2 ประตู ในขณะที่ บาเยิร์น 0 และอย่างที่ได้บอกไปตอนต้นบทความว่า ด้วยความที่เกมนี้เป็นเกมที่มีความใกล้เคียงสูง ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ จีงสามารถเปลี่ยนเกมได้เลย ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะลูก 1-0 ของ เปแอสเช เกิดจากการเสียบอลกลางทางของ แฮร์รี เคน แล้วก็เป็น เดซีเร ดูเอ้ ที่เป็นผู้ลงโทษความผิดพลาดดังกล่าว
5.เปแอสเช ชนะแบบทิ้งแผลในนัดหน้า
แม้ เปแอสเช จะสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปได้ แต่พวกเขาจะลงเล่นโดยปราศจากเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งซ้ายถึง 2 คน นั่นคือ วิลเลียน ปาโช กับ ลูกัส แอร์กน็องเดซ ที่ต่างโดนใบแดงโดยตรงในนาที 82 และ 92 ตามลำดับ
ในรายของ ‘ปาโช’ ถือว่าเสียหายหนัก เพราะเซ็นเตอร์แบ็คทีมชาติเอกวาดอร์คือนักเตะที่ลงเล่นมากที่สุดให้ทีมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา (4,545 นาที) แถมยังเป็นแนวรับตัวหลักของทีมที่มีค่าเฉลี่ยในการตัดบอลต่อเกมได้มากที่สุด คือ 1.3 ครั้งต่อเกม
ทำให้เกมหน้า คาดว่าคนที่จะมายืนคู่กับ มาร์กินญอส ในแนวรับคือ ลูคัส เบราลโด้ เซ็นเตอร์แบ็คบราซิลเลียนวัย 21 ปี